วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ครูที่ดี..ดูอย่างไร

ครูที่ดี ดูอย่างไร.. มาที่นี่ มีคู่มือพิสูจน์การเป็นครูดี มาฝาก

วันครู 

          ปัจจุบันนี้ โลกของเราถือเป็นยุคของโลกไร้พรมแดน ที่ถูกครอบงำด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ทำให้ประเทศเกิดความเจริญ รุดหน้าอย่างรวดเร็วในทุกด้าน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา จากความทันสมัยนั้น ก็คือคนในสังคมขาดคุณธรรมจริยธรรม มีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม และด้วยการเปิดรับการไหลบ่า ของวัฒนธรรมต่างชาติที่เข้ามา ทางข้อมูลข่าวสาร ทำให้เด็กและเยาวชน มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เกิดการเลียนแบบวัฒนธรรมต่างชาติ โดยไม่มีการคัดกรองว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี เนื่องจากไม่มีการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ในเบื้องต้นให้แก่เด็ก
 
          จากสภาพการณ์ดังกล่าว ครู จึงถือว่ามีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญยิ่ง ในฐานะเป็นผู้ที่สั่งสอน หรือถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ศิษย์ รวมทั้งเป็นผู้ที่สร้างสรรค์ ภูมิปัญญา เพื่อให้เด็กและเยาวชน สามารถตระหนักได้ว่า ควรจะเลือกรับวัฒนธรรมต่างชาติที่ดี ที่สามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม กับพฤติกรรมของตนเอง แต่ทั้งนี้ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ครู จะต้องทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี และเหมาะสมให้แก่ลูกศิษย์ด้วยเช่นกัน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ  กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอเสนอบทบาทหน้าที่ของครู จรรยามรรยาท และวินัยตามระเบียบประเพณีของครู ว่าการเป็นครูที่ดีนั้นจะต้องทำอย่างไรบ้าง
 
หน้าที่ของครูอาจารย์ที่พึงมีต่อศิษย์

           1. แนะนำดี คือ การให้คำแนะนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ และสิ่งที่ดีๆ ให้แก่ ลูกศิษย์

           2. ให้เรียนดี คือ การแนะนำส่งเสริม สนับสนุน ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ ลูกศิษย์ ให้มีผลการเรียนที่ดี

           3. บอกศิลปะให้สิ้นเชิง ไม่ปิดบังอำพราง โดยการถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมด ที่ตนเองมีอยู่ให้แก่ลูกศิษย์

           4. ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ให้การสนับสนุน และยกย่องลูกศิษย์ที่มีความประพฤติดี ให้ปรากฏแก่เด็กคนอื่นๆ เพื่อนำไปเป็นแบบอย่าง

           5. ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย  ปกป้องและสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ลูกศิษย์ จากสิ่งแวดล้อมและสิ่งยั่วยุที่ไม่ดีทั้งหลาย

จรรยามรรยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู

           1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

           2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น

           3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์ และปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ พร้อมทั้งอุทิศเวลาของตนให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานมิได้

           4. รักษาชื่อเสียงของตน มิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใดๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู

           5. ถือปฏิบัติตามระเบียบ และแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา

           6. ถ่ายทอดวิชาความรู้ โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตน ไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษยชาติ

           7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงาน หรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน

           8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรม ไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ

           9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตน เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ของผู้ร่วมงาน และของสถานศึกษา

           10. รักษาความสามัคคีระหว่างครู และช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน 

ครูที่ดี









ครูทีดี...คือ




ลูกซน สมาธิสั้น หรือฉลาดเกินไปกันแน่

ลูกซน สมาธิสั้น หรือฉลาดเกินไปกันแน่





วันนี้ จะเล่าอีกประเด็นหนึ่งที่ได้มีการพูดคุยกัน ในการบรรยายเรื่อง "การปรับพฤติกรรมเด็กบนพื็นฐานการมีสติ"  คือ ปัญหาของเด็กซน สมาธิสั้น  เนื่องจาก อจ.ดร.วไลลักษณ์ พุ่มพวง ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ เรื่องการปรับพฤติกรรมเด็กที่มีปัญหาเด็กซน สมาธิสั้น เด็กไฮเปอร์หรือปัญหาพฤติกรรมด้านอื่นๆ  รวมทั้งเป็นวิทยากรที่อบรมพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูที่มีหน้าที่ในการดูแลกลุ่มเด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมเหล่านี้  จึงมีผู้ปกครอง จำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจในการสอบถามปัญหาในเรื่องนี้

ท่านวิทยากรเล่าว่า  ปัญหาเรื่องเด็กซน  สมาธิสั้น  ถือว่าเป็นกลุ่มอาการเดียวกัน  แต่มีความรุนแรงแตกต่างกัน  โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

  • เด็กซน  
  • เด็กสมาธิสั้น
  • เด็กซน สมาธิสั้น
เด็กซนนั้น เป็นเด็กที่ไม่สามารถอยู่นิ่งได้เป็นเวลานานๆ   เด็กสมาธิสั้นนั้น จะไม่มีสมาธิในกจดจ่อในการฟังอะไรนานๆ   ส่วนเด็กซน สมาธิสั้น เป็นเด็กที่มีอาการร่วมทั้งสองลักษณะคือ ไม่สามารถอยู่นิ่งได้นานๆ และไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อในการฟังอะไรนานๆ   มีผู้ปกครอง จำนวนมาก ไม่อยากเชื่อว่า ลูกเป็นเด็กสมาธิสั้น เพราะลูกนั้น สามารถเล่นเกม ดูทีวีได้เป็นเวลานาน  หรือ เล่นอะไรที่ตัวเองชอบได้นาน    ซึ่งอจ. ดร.วไลลักษณ์กล่าวว่า   การที่เด็กดูทีสี เล่นเกม หรือ วาดรูปได้นานๆ ก็ไม่ได้เป็นเครือ่งบ่งชี้ว่า เด็กไม่มีปัญหา  เพราะการเล่นเกม ดูทีวีนั้น ภาพมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว  ทำให้เด็กสมาธิไม่ได้นิ่ง แม้ว่าจะนั่งนิ่ง  หรือ การวาดรูป เด็กก็ต้องใช้สมองจินตนาการ มีการเคลื่อนไหวของมือ และการกระทำตลอดเวลา       แต่การที่เด็กสมาธิสั้นนั้น ดูจากเด็กไม่สามารถฟังหรืออ่านหนังสือ หรือเรียนหนังสือได้นาน เพราะมีระยะเวลาในการมีสมาธิที่สั้น

เด็กที่ซน สมาธิสั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กที่มีการปัญหาด้านการเรียนเสมอไป  เด็กที่มีปัญหาแบบนี้ จำนวนไม่น้อย เป็นเด็กที่เรียนดีมากๆ  มีผลการเรียนดี ไ่ม่มีปัญหา  แต่ปัญหาพฤติกรรมที่ซน ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ  ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนในห้องเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนเป็นแนววิชาการ มีจำนวนนักเรียนมากๆ  ซึ่งเด็กๆต้องใช้เวลาส่วนมากในการเรียนในห้องเรียน   ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหว ได้อย่างอิสระ   ก็จะทำให้เด็ก "ป่วน" ในห้องเรียนได้ เพราะเบื่อหน่ายไม่สนุก และพลอยทำให้เด็กเสียสมาธิในการเรียน  และทำให้การเรียนการสอนไม่ราบรื่น    เด็กซนและสมาธิสั้นบางคน แม้จะนิ่งไม่ได้นาน หรือมีสมาธิในการฟังไม่ยาว  แต่มีความจำดี  ฟังหรือดูไม่นาน ก็สามารถเข้าใจได้  ทำให้เด็กเหล่านี้ อาจจะเป็นเด็กเรียนเก่งมากๆ  มีอัจฉริยภาพในบางด้าน  แต่โดยรวม ทำให้การเรียนการสอน ของเพื่อนนักเรียนและครูมีปัญหา  หากเป็นมากๆ เด็กเหล่านี้ จึงต้อง รับประทานยา เพื่อให้สามารถอยู่นิ่งได้     ยาเหล่านี้  เป็นยาที่อาจจะมีผลข้างเคียงบ้าง เช่น ง่วงซึม  แต่จะหมดฤทธิ์ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด และสามารถขับออกจากร่างกายได้ทางปัสสาวะ  และไม่มีการสะสมในระยะยาว  


วิธีการแก้ปัญหาของเด็กซน สมาธิสั้นนั้น  จะต้องทำร่วมกันหลายๆวิธี  การใช้ยา ก็อาจจะมีการใช้ในกรณีที่เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  แต่สามารถเลิกได้ ไม่ต้องทานต่อเนื่อง หากเด็กสามารถปรับพฤติกรรมได้ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นในอนาคต    หลักๆในการแก้ปัญหาเด็กซน สมาธิสั้น  คือ   การเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม และ  การปรับพฤติกรรมทางบ้าน ซึ่งเป็นวิธีที่สำคัญที่สุด   โรงเรียนที่เหมาะกับการดูแลและฝึกเด็กเหล่านี้  คือ โรงเรียนแนวบูรณาการ   ซึ่งจะมีชั้นเรียนที่มีเด็กจำนวนไม่มาก  และการเรียนการสอนเน้นให้เด็กเป็นอิสระ และเรียนรู้ด้วยการปฎิบัติ     แต่หากเด็กมาเรียนในโรงเรียนแนววิชาการ  วิธีการที่จะช่วยเด็กได้ดีที่สุด คือ การปรับพฤติกรรม และการดูแลที่บ้าน  ซึ่งควรฝึกเด็กให้มีระเบียบวินัย กำจัดสิ่งเร้า เช่น  การดูทีวี หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต ให้น้อยลง     พ่อแม่และโรงเรียน ต้องให้ความร่วมมือกันในการปรับพฤติกรรมเด็ก   หากเด็กได้รับการดูแลที่ถูกต้อง  เด็กก็จะสามารถปรับพฤติกรรมให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนๆในโรงเรียน ในสังคมได้เป็นปกติ มีศักยภาพ    มีเด็กที่มีปัญหาเด็กซน สมาธิสั้นหลายคน สามารถเรียนแพทย์  เรียนวิศวกรรม  เรียนในสาขาที่ยากๆได้  เพราะได้รับการดูแล ปรับพฤติกรรม และฝึกฝนมาอย่างถูกวิธี  จึงสามารถพัฒนาได้เป็นปกติ


วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เด็กประถมเกาหลีคลั่งศัลยกรรมทำเอง


เด็กประถมเกาหลีคลั่งศัลยกรรมทำเอง




"ซินหัว"เผยนักเรียนระดับประถมในเกาหลีฮิตทำเครื่องมือเพื่อช่วยศัลยกรรมใบหน้าให้สวยหล่อด้วยตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญเตือนกระทบต่อการเจริญเติบโต
กระแสคลั่งไคล้การทำศัลยกรรมความงามในหมู่ชาวเกาหลีไม่ได้หยุดอยู่แค่ในหมู่ผู้ใหญอีกต่อไป เพราะขณะนี้กระแสดังกล่าวได้ระบาดไปถึงบรรดาเด็กนักเรียนระดับประถมแล้ว แต่ด้วยความที่นักเรียนเหล่านี้ยังไม่มีงานทำ จึงไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ไล่ล่าความหล่อความสวยด้วยการทุ่มเงินก้อนโต ทำให้ต้องสรรหาสารพัดวิธีที่จะ "ดัดแปลง" ใบหน้าของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่การหันมาพึ่งพาอุปกรณ์ศัลยกรรมที่ทำขึ้นมาเองกับมือ
สำนักข่าวซินหัว ภาคภาษาญี่ปุ่น รายงานว่าขณะนี้ในหมู่นักเรียนระดับประถมศึกษาของเกาหลีกำลังเกิดกระแสทำ "ศัลยกรรมความงามด้วยตัวเอง"เพื่อหวังที่จะมีใบหน้าสวยหล่อเหมือนกับบรรดาซูเปอร์สตาร์แดนกิมจิทั้งหลาย
การทำ “ศัลยกรรมความงามด้วยตัวเอง” ของเด็กๆ ไม่ใช่การยกเครื่องใบหน้าด้วยการผ่าตัดด้วยมีดหมอคนไหน แต่เป็นการใช้อุปกรณ์พิเศษที่ทำขึ้นเองบ้าง หรือหาซื้อมาเองบ้าง เองบ้าง ไม่ว่าจะเป็น “อุปกรณ์ทำตาสองชั้น”ที่มีลักษณะเหมือนแว่นตา เพียงแต่กรอบของ “แว่นตา” จะสวมเข้ากับส่วนบนของเปลือกตาเพื่อทำให้เกิดรอยพับที่คล้ายกับตาสองชั้น
“อุปกรณ์ทำจมูกโด่งเป็นสัน” มีลักษณะคล้ายกับคีมหนีบสันจมูก ดูแล้วเหมือนจะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้สวมใส่อย่างมาก อีกหนึ่งตัวช่วยที่นิยมกันคือ "อุปกรณ์ทำหน้าเรียว" มีลักษณะคล้ายเฝือกที่ห่อส่วนคางและกรามของใบหน้าไว้ เพื่อหวังที่จะทำให้ใบหน้าเรียวเล็กตามสมัยนิยม
และยังมีอีกหลายอุปกรณ์และวิธีการที่เด็กๆ วัย 10 กว่าปีเหล่านี้ คิดค้นกันมาสนองความฝันของตัวเองที่อยากมีใบหน้าตามแบบฉบับดาราดัง
แม้จะดูเหมือนเจ็บปวดทรมาน แต่เด็กๆเหล่านี้ก็ยอมทน เพราะขณะนี้สังคมเกาหลีมีมาตรฐานเรื่องความงามสูงมาก โดยไม่ไยดีว่าความงามที่เกิดขึ้นนั้นจะผ่านกรรมวิธีใดมา
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เด็กๆ มีทัศนคติในทำนองที่ว่า ยิ่งทำศัลยกรรมตั้งแต่ยังอายุน้อยเท่าไร โตขึ้นก็จะหล่อจะสวยยิ่งขึ้นเท่านั้น เพียงแต่ว่าพ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกๆ ผ่านมีดหมอก่อนวัยอันควร จึงต้องหาทางออกในลักษณะนี้
กระแสที่ว่านี้สร้างความวิตกกังวลในหมู่ผู้ใหญ่อย่างมาก โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก ที่ออกโรงเตือนว่า การใช้อุปกรณ์ที่สร้างแรงกดดันแก่ร่างกาย จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็กเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่บรรดาผู้ใหญ่จะอธิบายให้เด็กที่กำลังคลั่งไคล้ดาราเหล่านี้ เข้าใจถึงพิษภัยที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองในอนาคต เพราะแทนที่จะสวยจะหล่อเหมือนดารา อาจมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวไม่ได้รูปเป็นการตอบแทน

การตีเด็กได้ผลจริงหรือ ในการพัฒนาเด็ก

การตีเด็กได้ผลจริงหรือ ในการพัฒนาเด็ก
โดย อภิญญา   ปัญญาพร
รพ.จิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต
หากพูดถึง การลงโทษเด็ก มีหลากหลายวิธี แต่ที่เรามัก สงสัย พูด วิจารณ์กันบ่อย   คือ  การตี ” การลงโทษเด็กด้วยการตีจะดี จะช่วยพัฒนาเด็กได้หรือไม่นั้น คงเป็นคำถามที่ต้องตอบ มาติดตามกันต่อนะคะ
ข่าวการลงโทษเด็กโดยการเฆี่ยนตีออกมาให้เราทราบบ่อยครั้งทำให้มีมุมมองเกิดขึ้นหลายมุมมอง เช่น จากตัวเด็กเอง จากพ่อแม่ จากครู ต่างคนก็ต่างความคิดและต่างประสบการณ์ แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกฝ่าย ดังนี้ค่ะ
            ผู้เขียนขอเสนอผลวิเคราะห์ของจิตแพทย์ได้สรุปไว้ว่า
:การตีก้น แม้เพียงเบา ๆ อาจเป็นเหตุให้ลูกรักล้มป่วย หรือมีผลกระทบถึงสมองได้ (อายุ 0-2 ขวบ)
    :การตีลูกไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย เมื่อตอนถูกตีเด็กจะดูเรียบร้อยคุณจะรู้ไหมว่านั่นเป็นการทำลายจิตใจเด็ก และเด็กจะยอมแพ้ในช่วงเวลาที่ถูกตีเท่านั้นเอง
            : การตีเป็นแผงกั้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ ลูก ลูกจะน้อยเนื้อต่ำใจว่า พ่อ แม่ ไม่รัก ผลที่เกิดขึ้นคือ เด็กจะรู้สึกขาดความอบอุ่น และกลายเป็นเด็กมีปัญหา
            : พ่อ แม่ ที่เคยถูกตี จะตีลูก และเป็นวัฐจักรไม่มีที่สิ้นสุด
            : ความรู้สึกของเด็กเมื่อถูกตีคือ เจ็บกาย และเจ็บใจ
            การตีเด็กมีทั้งได้ผล และไม่ได้ผล
            ได้ผล : คือ หยุดพฤติกรรมได้รวดเร็ว ทันใจ แต่เป็นระยะสั้น ๆ ในระยะยาวเด็กจะเป็นคนขี้ขลาด หวาดกลัว ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไร สมยอมไม่มีความคิดสร้างสรรค์ มักพบความสำเร็จในชีวิตราชการ
            ไม่ได้ผล : คือ ตีแล้วไม่เข็ดหลาบ จึงต้องตีกันอยู่เป็นประจำ เด็กจะเจ็บใจ โกรธ เด็กจะแสดงออกโดยการดื้อเงียบ ด่านินทาลับหลัง ชอบตั้งฉายา มีความสุขในการนินทา พ่อ แม่ ครู แต่ต่อหน้าจะเคารพสุภาพ ถ้าถูกติมากจะเปลี่ยนเป็นเกลียด ท้ายที่สุดจะกลายเป็นความแค้น เด็กจะแก้แค้น พ่อ แม่ ครู ทำลายสิ่งของที่รุนแรงที่สุด จะกลายเป็นการทำลาย จะเป็นอันตรายมาก
            พบรูปแบบการทำลาย 2 อย่างคือ
            ทำลายตนเอง : ประชดชีวิตทุกรูปแบบ ติดยา การพนัน สำส่อนทางเพศ คิดมาก โรคจิต ประสาท ถ้ารุนแรงจะฆ่าตัวตาย
            ทำลายผู้อื่น : ทำผิดกฎ เกเร มาสาย หนีงาน อู้งาน คอรัปชั่น เป็นโจร ฯลฯ
            จะเห็นได้ว่าผลดีตามหลักสุขภาพจิตนั้น พบได้น้อยกว่าผลเสีย
            ตามหลักสุขภาพจิตให้ใช้ทุกวิธีในการพัฒนาเด็ก ถ้าฝึกด้วยความรัก ไม่ว่าจะตี จะลงโทษเมื่อตื่นสาย เพียงแต่ต้องนึกอยู่เสมอว่า วิธีดังกล่าวสามารถพัฒนาเด็กได้ เช่นการตี ถ้าเห็นว่าตีเพื่อการพัฒนา ก็ทำด้วยความรัก เช่นเด็กให้ลงโทษ 3 ที ตีเด็กไป 1 ที และใช้เหตุและผลในการพูดคุย ก็จะช่วยให้การลงโทษตีเด็กเป็นการพัฒนาเด็กได้เช่นกัน

   เอกสารอ้างอิง ;   ณรงค์ศักดิ์   ตะละภัฏและคณะ. การพัฒนาคุณภาพชีวิต.กรุงเทพฯ:พรศิวการพิมพ์,2535

ครู...คือผู้ให้แสงสว่าง

             คุณครู คือ ผู้ให้แสงสว่างแก่ลูกศิษย์ สิ่งแรก ที่คุณครูควรทำ คือไปยืนหน้ากระจก แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ฉันจะเป็นแสงสว่างให้แก่เธอ พูดกับคนที่อยู่ในกระจกนั่นแหละ เพราะตัวเราก็เป็นนักเรียน และก็เป็นครูด้วย

              การให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ Sharing is great คุณครูทำให้ความไม่รู้หมดไปจากโลกใบนี้ด้วยความรู้ ให้ความรู้ต่อเพื่อนมนุษย์ ตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ กระทั่งตัวโตๆ เป็นความยิ่งใหญ่ที่สำคัญกว่าภูเขาทอง เป็นความปีติและความภาคภูมิใจของครู ที่เป็นผู้ให้แสงสว่างต่อเพื่อนมนุษย์ เพราะฉะนั้นนักเรียนคนแรกที่ครูจะต้องสอน คือคนที่อยู่ใน กระจก บอกว่าฉันจะเป็นแสงสว่างให้แก่เธอ แล้วก็ส่งยิ้มให้ไป ปลุกวิญญาณครูขึ้นมา

              คุณครูคือผู้ให้ ไม่ได้ไปเอาอะไรจากใคร และคุณครูก็ไม่ใช่เรือจ้าง อย่าเอาคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของครูไปเทียบกับเรือจ้างเลย ต้องไปเทียบกับดวงตะวัน โลกขาดดวงตะวันไม่ได้ฉันใด โลกใบนี้ก็ขาดคุณครูไม่ได้ฉันนั้น บอกตัวเองอย่างนี้ทุกวันแล้วใจจะมีปีติ เมื่อใจมีปีติก็มีกำลังใจที่จะเป็นผู้ให้แสงสว่าง จะเป็นปูชนียบุคคล ต้นบุญต้นแบบที่ดีของโลก และจะทำให้โลกแก้วใบนี้สว่างไสว
             เพราะฉะนั้นคุณครูทั่วประเทศต้องยืดนะ ยืดเลยว่าฉันเป็นผู้ให้ เพราะการให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และความรู้ก็เป็นเครื่องยกระดับชีวิตของลูกศิษย์ขึ้นมา ก็เพราะความรู้ของฉันที่ให้เธอไปแสวงหาทรัพย์ เหมือนให้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องแก่ลูกศิษย์ เธอมีบ้าน มีที่ดิน มีรถ มีเกียรติยศชื่อเสียง เพราะความรู้ที่ฉันให้เธอ ฉันเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง เหมือนดวงตะวันให้แสงสว่างมายังหมู่ไม้ทั้งหลาย ต้นกล้าต่างๆ ทั้งต้นเล็ก ต้นน้อยสารพัดก็เจริญเติบโตได้ คิดอย่างนี้แล้วคุณครูก็จะมีความรู้สึก ปลื้มปีติ ภาคภูมิใจที่เงินซื้อไม่ได้ เอาภูเขาทอง มาแลกก็ไม่ได้

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นิทาน รองเท้าแตะ..สอนคน


รองเท้าแตะ......สอนคน






เพื่อนๆเคยได้ยินคำพูดของคุณสมคิด ลวางกูร ไหมค่ะ ? เขากล่าวไว้ว่า ถ้าเรามีเงินคนละ 1บาท     แล้วเอามาแลกกัน...เราจะยังคงมีเงินคนละ1บาทเท่าเดิม   แต่ถ้าเรามีความคิดดีๆคนละ1ความคิด แล้วนำมาแลกกัน เราก็จะมีความคิดดีๆคนละ2ความคิด...
..................................................................................

รองเท้าแตะ...ถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่ให้แง่คิดเกี่ยวกับการเป็นครูเป็นอย่างมาก จึงอยากมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟัง แล้วมาวิเคราะห์พร้อมกัน.. เรื่องมีอยู่ว่า..
มีคุณตาท่านหนึ่ง กำลังจะออกเดินทางไกลด้วยรถไฟ. ท่านรอรถไฟได้ไม่นาน ขบวนรถไฟได้มาถึงสถานี.เนื่องจากเป็นขบวนรถเร็วจึงจอดรับผู้โดยสารได้ไม่นาน...คุณตาจึงรีบวิ่งแล้วก้าวขาขึ้นบันได ทันใดนั้น!!!รองเท้าของคุณตาหลุดข้างหนึ่ง แต่รถไฟได้วิ่งออกจากสถานีแล้ว...ท่านไม่รีรอช้ารีบถอดรองเท้าอีกข้างหนึ่ง แล้วโยนลงไปให้อยู่คู่กัน ...

การกระทำดังกล่าวอยู่ในสายตาของผู้คนบนรถไฟ ต่างก็ซุบซิบต่างๆนานาว่า..คนอะไร เสียรองเท้าไปข้างเดียวก็น่าเสียดายแย่  ยังจะโยนรองเท้าทิ้งอีกข้างลงไป..คุณตาท่านนี้สติไม่ค่อยครบแน่นอน!!  ไม่นานมีผู้ชายคนหนึ่งถามคุณตาว่า ทำไมคุณตาทำอย่างนั้น? ไมเสียดายรองเท้าเหรอ?คุณตายิ้ม
แล้วพูดว่า รองเท้าข้างเดียวจะไปมีประโยชน์อะไร หากทิ้งให้มันครบคู่ เผื่อคนที่ยากไร้มาเจอ แล้วหยิบใส่มัน จะไม่เป็นการสร้างประโยชน์กว่าเหรอ......................ทุกคนอึ้งกับ คำตอบของผู้ที่ได้รับนามว่าสติไม่ครบ.
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทุกคนเป็นครูซึ่งกันและกัน และการสอนที่ดีที่สุดคือ การเป็นแบบอย่างที่ดี พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีของลูก พี่เป็นแบบอย่างที่ดีของน้อง  ครูเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกศิษย์...ดิฉันเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นครูที่ดีได้ค่ะ..



.......................................................

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ครูดี สร้างได้

ครูดี  สร้างได้
นิทานเรื่อง จันทโครพ...ถือว่าเป็นเรื่องเล่าที่ให้แง่คิดเกี่ยวกับอาชีพครูเป็นอย่างมาก จึงอยากมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟัง แล้วมาวิเคราะห์พร้อมกัน..เรื่องมีอยู่ว่า





จันทโครพ...เป็นลูกกษัตริย์ เดินทางเข้าป่าเพื่อไปเรียนวิชากับฤาษี.เมื่อเรียนจบฤาษีได้มอบผอบวิเศษให้แก่ จันทโครพ และสั่งไว้ว่า ห้ามเปิดระหว่างทางเด็ดขาด จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อกลับไปถึงเมืองตัวเองเสียก่อน.ในขณะที่เดินทางอยู่กลางป่าก็เกิดความสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงขัดคำสั่งฤาษีแล้วเปิดผอบ.ทังใดนั้นนางโมรา สาวสวย ก็ปรากฏตรงหน้าเขา ด้วยความหลงเสน่ห์ ทั้งสองจึงได้เสียกัน.



ขณะเดินทางกลับเมืองโจรเข้าปล้นจันทโครพ จึงเกิดการต่อสู้กันอย่างชุลมุน ขณะเหวี่ยงกันไป เหวี่ยงกันมา ดาบหลุดจากมือจันทโครพ จึงตะโกนบอกนางโมราให้ช่วยหยิบดาบให้พี่หน่อย นางโมรารีบวิ่งไปเก็บดาบในมือ...มองเห็นโจร ที่มีร่างกายบึกบึน เกิดหวั่นไหวเลยนึกรัก นางตัดสินใจส่งดาบให้โจรแทงจันทโครพตาย
เรื่องจบแค่นี้แต่นักวิชาการและนักปราชญ์ได้นำเรื่องนี้มาวิเคราะห์ต่อว่า

ความวิบัติ ของจันทโครพ เกิดจากใคร?
บางคนตอบว่า เป็นความชั่วของนางโมรา หญิงแพศยาที่มักมากในกามคุณ
บางคนบอกว่า คนผิดตัวจริงคือจันทโครพ ที่ไม่รักษาสัจจะ ถ้าไม่เปิดผอบ ตัวเองก็ไม่ตาย
บางคนบอกว่าความผิดทั้งหมดผิดที่โจรป่า ที่เป็นคนชั่ว เพราะถ้าเป็นคนดี ก็จะไม่ปล้นใคร และไม่ฆ่าใคร
สุดท้ายปราชญ์ก็เฉลยว่า คนที่ผิด คือ ฤาษี ที่สอนจันทโครพ และ สร้างนางโมรา
ฤาษีสอนแต่วิชาความรู้ แต่ลืมสอนธรรมะ ทำให้จันทโครพไม่ซื่อสัตย์
ฤาษีเนรมิตนางโมรา มีเสน่ห์ชวนหลงใหล แต่ลืมใส่ธรรมะ ใส่ความดี ทำให้นางหลงผิดหลงระเริงในกาม
คนเก่ง.....แต่ไม่ดี    คนสวย......แต่ไม่ดี
จะทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน วุ่นวาย วิบัติ
ครูอย่างเรามีหน้าที่ปั้นเด็ก และสอนความรู้แก่เขา ก็อย่าลืมใส่คุณธรรมความดีด้วยเช่นกัน..
 ท้ายสุดนี้ขอฝากไว้ว่า
หมอมีหน้าที่ซ่อมร่างกาย....ส่วนครูมีหน้าที่ซ่อมจิตวิญญาณ….
ถ้าหมอวางยาผิด.....คนไข้ก็จะตาย
หากครูให้ความรู้ที่ผิด....ศิษย์จะใช้ชีวิตที่ผิดพลาดจนวันตาย....
อ้างอิง ฉันฉันน์ ลวางกูร. เปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาส  (2555 :33-38)


                                                                                                                               
ครูที่ดี.............................คืออะไรสำหรับคุณ......

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โทรทัศน์ครู.....วิธีสอนวิทาศาสตร์เด็กประถม

                                 

โทรทัศน์ครู.....วิธีสอนวิทาศาสตร์เด็กประถม


                                              ลิงก์... http://www.thaiteachers.tv/vdo2.php?id=188


      การที่ประเทศเรามีการพัฒนาการเรียนการสอนในรูปแบบของ Teacher TV นั้นถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก เป็นการเปิดโอกาสให้คนไทยยุคใหม่ ครูไทยยุคใหม่ ได้พัฒนาโอกาสทางการศึกษา โดยเฉพาะคนที่ประกอบอาชีพครู จะได้มีแหล่งความรู้ที่รวบรวมวิธีปฏิบัติในด้านการเรียนการสอนที่ดี ได้เห็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะในวิชาชีพครู นอกจากนี้ Teacher TV ยังเป็นเครื่องมือสำหรับสนับสนุนการพัฒนาครูรุ่นใหม่ได้อีกด้วย
        นี่คงเป็นอีกขั้นของการพัฒนาทางด้านการศึกษาของไทย และคงมีการพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่องเพื่อ ครูไทย เด็กไทย และสังคมไทย ที่ดีขึ้นกว่าเดิม




วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการสอนวิทยาศาสตร์ให้สนุก 7 ประการ

เทคนิคการสอนวิทยาศาสตร์ให้สนุก 7 ประการ


การสอนวิทยาศาสตร์ตามรูปแบบ 7 ประการที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ได้ผสมผสาน วิธีการสืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง การใช้ความคิดทางด้านต่างๆ และการเรียนรู้ โดยนักเรียนเป็นศูนย์กลางเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งเด็กๆ โดยเฉพาะในระดับประถมและมัธยมต้น
จะสนุกกับวิธีการสอนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาให้พวกเขา ได้ทดลองวิธีนี้จึงจัดว่าเป็นการสอนโดยใช้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบ 7 ข้อนี้ได้เรียงลำดับ ไว้เพื่อความเหมาะสมในการสอนทุกๆ ข้อมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันและไม่จำเป็นว่าจะต้องนำไปปฏิบัติ เรียงตามลำดับนี้ เพราะจุดประสงค์ของรูปแบบการสอนนี้มีไว้เพื่อเป็นกรอบความคิดทาง การสอนได้หวังว่าครูจะต้องนำไปปฏิบัติตาม การสอนแบบนี้จะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียน และค้นพบความรู้ด้วยตนเอง บนโครงสร้างพื้นฐานของการเรียนรู้จากหลายๆ แขนง เช่น ตรรกวิทยา คณิตศาสตร์ ดนตรี ภาษาศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักเรียนค้นพบ วิทยาศาสตร์ จากแง่มุมต่างๆ ได้ องค์ประกอบทั้ง 7 ประการคือ

การคาดหมาย (Expectation)
หมายถึง วัตถุประสงค์กว้างๆ เป็นแนว ความคิดหรือการสร้างภาพกว้างๆ เกี่ยวกับบทเรียนขึ้นมา ครูจะต้องมีความยืดหยุ่นที่จะ ปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์นี้ไปตามสถานการณ์ จึงจะมีประสิทธิภาพ เพราะหากเราจำกัดวัตถุ ประสงค์เกินไป ไม่เปิดกว้าง จะทำให้ไม่สามารถเห็นความสนใจและความก้าวหน้าของ นักเรียนได้อย่างแท้จริง ดังนั้นผลสุดท้ายของวัตถุประสงค์จึงอาจจะถูกเปลี่ยนไปได้จาก แรกเริ่มอย่างที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือก็ได้ ตัวอย่างเช่น ในการสอนเรื่องวงจรไฟฟ้า วัตถุประสงค์เริ่มต้นนั้นมีเพียงแค่ให้นักเรียนเกิดความสนใจในรูปแบบของวงจร เปิด วงจรปิด วงจรขนาน แต่เมื่อจบบทเรียนจริงๆ แล้วเด็กๆ อาจจะถึงกับสามารถสร้าง เครื่องวิทยุอย่างง่ายๆ ขึ้นเองได้ ดังนั้นเมื่อเด็กๆ รู้ว่าตนได้รับการเปิดกว้างในการเรียน วิทยาศาสตร์จากครูเต็มที่ เขาก็จะเริ่มตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ และค้นหาสิ่งที่อยากรู้มากขึ้น

สิ่งล่อใจ (Enticement)
คือ กิจกรรมที่จะสามารถชักชวนให้เด็กๆ สนใจ จะเรียนรู้ อาจจะออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การใช้วีดีโอ การเล่าเรื่องสั้น การจัดตกแต่ง ห้องเรียน การใช้เสียงประกอบ ใช้อารมณ์ขันหรือการสาธิตให้ดู

การเข้าร่วมกิจกรรม (Engagement)
ช่วยให้เกิดความเข้าใจใน บทเรียน โดยอาจจะเป็นการนำเสนอหน้าชั้น การสาธิต หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน

การอธิบาย (Explanation)
หลังจากที่ได้ช่วยกันพิจารณาวัตถุประสงค์ ที่ตั้งไว้จนเกิดความเข้าใจแล้ว ก็จะเป็นช่วงที่นักเรียนจะมีการอภิปรายร่วมกัน ในการอธิบาย แนวความคิดหลักต่างๆ ทั้งครูและนักเรียนอาจเป็นผู้ริเริ่มหัวข้าสนทนาได้ทั้งในกลุ่มเล็กและ กลุ่มใหญ่ แหล่งที่มาของข้อสนทนาก็อาจจะมาได้จากแหล่งต่างๆ นอกเหนือจากในหนังสือ เรียนสื่อที่จะช่วยการอธิบายก็มีเช่น การใช้สมุดภาพ การไปทัศนศึกษาเพื่อให้นักเรียนเห็น ของจริง ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือห้องสมุดโรงเรียนก็จะเป็นแหล่งข้อมูลทั้งทางทฤษฎี และปฏิบัติ นอกจากนี้กิจกรรมภายในบ้าน เช่น การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็ช่วยเชื่อมโยง กับบทเรียนได้อีกด้วย

การค้นหา (Exploration)
จะช่วยผลักดันให้นักเรียนพิจารณาความรู้ และประสบการณ์ที่มีอยู่ นำมาเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของชั้นเรียน การทำกิจกรรมด้วย ตนเอง เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนวิทยาศาสตร์ และสิ่งนี้จะดึงดูดความสนใจนักเรียนและ จะช่วยทำให้บรรยากาศในชั้นเรียนดีขึ้นได้ การที่ครูจัดเตรียมอุปกรณ์การทดลอง และ การทดลองหลากหลายไว้ให้ จะช่วยเพิ่มขอบเขตความคิดของนักเรียน

การขยายความ (Extension)
เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนนำความรู้ ของตนมาปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆ รู้จักหาคำตอบต่อคำถามที่ว่า “มันจะเป็นอย่างไรถ้า…..” ครูสามารถจะให้นักเรียนใช้ความรู้ของตนมาใช้ทดลองเองกับอุปกรณ์ที่มีอยู่ใน ห้องเรียน ให้ทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน เพื่อที่จะให้นักเรียนสามารถค้นพบคำตอบด้วยตนเอง
หลักฐาน (Evidence)
เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนสะท้อนความรู้ ความคิดของตนออกมาทางการเขียนที่มิใช่การทำข้อสอบ นักเรียนจะต้องเขียนผลลัพธิ์ของ การทดลองเพื่อฝึกการจัดระบบความคิด และเชื่อมโยงความคิดกับความรู้สึก ประสบการณ์ที่มี และเรามีแนวการเขียนรายงานสั้นๆเรียกว่า ฟอร์ กอล์ฟเฟอร์ (FGOLFeRS) ซึ่งเป็นการ เขียนรายงานที่เริ่มด้วยการวาดโครงร่างของกระบวนการและผลลัพธ์ของการทดลอง จากนั้น ให้สะท้อนความรู้สึกในระหว่างที่ทำกิจกรรมนั้น เชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผ่านมาและแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ฟอร์ กอล์ฟ เฟอร์ประกอบด้วย
F – Find
กล่าวถึงสิ่งที่เราต้องการจะค้นหา โดยให้วัตถุประสงค์ของการทำการทดลองนั้นๆ
G – Guess
กล่าวถึงผลลัพธ์ที่เราคาดเดาไว้ก่อนทำการทดลอง
O – Order
กล่าวถึงลำดับขั้นของการทำการทดลอง
L – Learn
กล่าวถึงสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการทำการทดลองนั้น
Fe – Feeling
เรามีความรู้สึกอย่างไรในระหว่างที่ทำการทดลอง และรู้สึกอย่างไรหลังจากทดลองแล้วเสร็จ
R – Remind
กล่าวถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทดลองนี้ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์อื่นๆที่ผ่านมาบ้างหรือไม่ และเกี่ยวข้องกันอย่างไร
S – Science
คิดว่าการทดลองนี้มีผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันและอนาคตอย่างไร เราคิดว่ามันมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร
เพราะวิชาวิทยาศาสตร์จะต้องอิงอยู่กับการทดลองเสียเป็นส่วนมาก ดังนั้น การเขียนรายงานจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงความเข้าใจในเนื้อหา แต่อย่างไรก็ตามการ เขียนรายงานก็อาจจะต้องเสียเวลามาก ดังนั้นการประมวลความรู้ ร่วมกับเพื่อนๆ จะช่วยเพิ่มคุณภาพของการเขียนและลดเวลาที่ครู จะให้คะแนนลงไปได้ หรือเราอาจจะให้นักเรียนในกลุ่มเล็กๆ ช่วยกัน เติมข้อความหรือวาดโครงร่างเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เรียน ได้ใช้กลยุทธ ในการเรียนหลายๆ แบบ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้แนวคิดนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นอิสรภาพ ในการเลือกและเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เข้ากับชีวิตจริงของเรา


ขอบคุณที่มา 

http://www.learnsanook.info เรียนสนุก